วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

Greeting = การทักทายถามความเป็นอยู่

- How are you?    
- Howdy!
- How are you doing?
- How are you going?
- What's up? (Sup?)
- What are you up to?
- How was your day?
- How's everything?
- How are things?
- How do you feel?
- How's it going?
- How do you do?
- How's life? 
- How's everything with you?
- What's new?
- How are things going?
- How are you getting on?


ในกรณีที่ไม่เจอนานใช้ว่า

- How've you been?
- Haven't seen you for ages?
- How have you been doing? 
- How have you been going?
- What have you been up to?

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

Word order - Verb + Object ; Place and Time

Verb + Object ( คำกริยา + กรรม)
โดยปกติ คิกริยาและกรรมของคำกริยานั้น มักจะอยู่ติดกันโดยไม่มีคำอื่นมาคั่นกลาง เ่ช่น
-I like children very much. (No 'I like very much children')
- Did you see your friends yesterday?
- Ann often plays tennis.

พิจารณาดังตังอย่างต่อไปนี้และสังเกตว่าในแต่ละประโยค คำกริยาและกรรมเรียงอยู่ติดกัน
- Do you clean the house every weekend?
- Everybody enjoyed the party very much.
- Our guide spoke English fluently.
- I not only lost all my money - I also lost my credit card.
- At the end of the street you'll see a supermarket on your left.

Place and Time
โดยปกติ คำกริยาและคำบอกสถานที่ (Where?) จะอยู่ติดกัน (ในกรณีที่ไม่มี object) เช่น
      
          go home     live in a city      walk to work   Etc.

ถ้าคำกริยามี object คำบอกสถานที่จะอยู่ข้างหลัง verb + object เช่น

take (v.) somebody(o.)  home (pl.)           meet (v.) a friend (o.)  in the street (pl.)

คำบอกเวลา (when? / how often? / how long?) โดยปกติจะอยู่ข้างหลังคำบอกสถานที่ เช่น
- Tom walks to work every morning.  (No ' Tom walks every morning to work')
- She has been in Canada since April.
We arrived at the airport early.

พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้และสังเกตว่าในแต่ละประโยคมีคำบอกเวลาอยู่หลังคำบอกสถานที่ เช่น

- I'm going to Mukdahan on Monday. (No ' I'm going on Monday to Mukdahan)
- They have lived in the same house for a long time.
- Don't be late. Make sure you're here by 8 o'clock.
- Gilbert gave me a lift home after the party.
- You really shouldn't go to bed so late.

เราอาจจะใช้คำบอกเวลาในตำแหน่งต้นประโยคก็ได้ เช่น
- On Monday I'm going to Maha Sarakham.
- Every morning Tom walks to work.

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ดาวเด่น


ยามได้เห็นดวงหน้า ช่างงามจับตาพาให้ฉัน
ละเมอถึงเธอทุกวัน โอ้แม่จอมขวัญฉันหวังเชยชม
ยิ่งพิศยิ่งคิดฝนั ใฝ่ ต้องทำสิ่งใดจึงได้สม
ร่วมเรียงคู่เคียงภิรมย์ ชื่นจิตเกลียวกลมดังใจ
ตัวเจ้าดังดาวเด่น dominant, prominent, flamboyant
เฉิดโฉมเจ้า eminent, remarkable, notable
พิศวงพักตร์ใกล้ ๆ ฉันยิ่งคลัง่ ไคล้ลุ่มหลง
ถึงตอนละครจบลง ปิดโทรทัศน์ปลงถอนใจ
เด่นดังสำคัญยิ่ง striking, distinguished
distinctive, stunning, outstanding เป็นเช่นดาว

Vocabularies! 


(Adj.) Dominant, prominent, flamboyant, eminent, remarkable, notable, striking, distinguished,
(V.) Discriminate = แบ่งแยก, ทำให้แตกต่าง 
distinctive, stunning (adj.) ตะลึง 
Stun (v.) ทำให้หยุด, ชะงัก
Alienate, differentiate (v.) ทำให้แตกต่าง, ทำให้เห็นความแตกต่าง  
Outstanding (a.) โดดเด่น,  เด่น, ซึ่งสังเกตเห็นได้ง่าย, ยอดเยี่ยม
stand out (v.) เด่น

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

เพลง อาซิ้ม and I


turn off TV. มัน turn off อารมณ์ให้หมดไป
แต่ turn on TV. มัน turn on อารมณ์ให้เร้าใจ
พอ turn up ให้ดัง ฉันเห็นเธอ turn up ขึ้นบนจอ อยากดูต่อ
ไม่ turn over เปลี่ยนช่องเลย
*แต่ซิ้มของฉันแก turn down ลดเสียง,ปฏิเสธฉัน
เราจึง turn against เป็นศัตรูกัน ซิ้มกับฉัน...ซิ้มกับฉัน...ฉันกับซิ้ม
**ซิ้มไม่ยอม ซิ้มจะ ปิดไฟ, เข้านอน turn out, turn in
ใจติ๋ม ๆ ของซิ้ม turn into ก้อนหิน ขู่ว่าจะ turn me in ส่งฉันมอบตัว
It’s turn out that I have to turn to my mummy
มันกลายเป็นว่าฉันต้องไปพึ่งแม่ ที่แสนดี
ก็ซิ้มไม่ยอมคืน remote ให้เป็นของฉันสักที ไม่ turn in
มันเลยไม่ turn over to me

** Confusing Vocabularies
= turn in (phrasal verb)  informal = เข้านอน
to go to bed
I usually turn in at about midnight. 
= turn sb in (phrasal verb)  = มอบตัว
take a criminal to the police, or to go to them yourself to admit a crime 

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

Word order -Adverbs and Verb

A) Adverb บางคำ ( เป็นต้นว่า always, also, probably) อยู่ติดกับกริยาในตำแหน่งกลางประโยค เช่น
- Tom always goes to work by car.
- We were feeling very tired and we were also hungry.
- Your car has probably been stolen. เป็นไปได้ว่า รถของคุณถูกขโมยเสียแล้ว
B) ศึกษากฏเกี่ยวกับตำแหน่งของ adverb ตรงกลางประโยค (กฏเหล่านี้เป็นเพียงกฏทั่วไป จึงมีข้อยกเว้น) ดังนี้
I) ถ้ากริยาเป็นคำเดียว (goes/fell/cooked  etc.) โดยปกติ adverb ในข้อ A จะออยู่หน้าคำกริยา เช่น
- I almost fell as I was going down the stairs.
- I cleaned the house and also cooked the dinner. (ไม่ใ่ช่ 'cooked also')
- Gilbert hardly ever watches television and rarely reads newspapers.
** โปรดสังเกตด้วยว่า adverb (always/ often/ also etc.) อย่าข้างหน้า have to เช่น
-Jim never phones me. I always have to phone him. (ไม่ใช่ ' I have always to phone')
II) วาง adverb หลังคำกริยา am/is/are/was/were ( verb to be) เช่น
-We were feeling very tired and we were also hungry.
- Why are you always late? You're never on time.
- The traffic isn't usually as bad as it was this morning.
III) ถ้ามีคำกริยาตั้งแต่สองคำขึ้นไป ( can remember / doesn't smoke / has been stolen etc.) 
ให้วาง adverb ไว้หลังคำกริยาตัวแรก ( can/ doesn't / has etc.) เช่น
- I can never remember his name.
- Ann doesn't usually smoke.
- Are you definitely going to the party tomorrow?
- Your car has probably been stolen.
- My parents have always lived in London.
- If we hadn't taken the same train, we would never have met each other.
- Jack can't cook. He can't even boil an egg.
- The house was only built a year ago and it's already falling down.
** โปรดสังเกตว่า probably จะอยู่หน้าคำปฏิเสธ (negative) ดังนั้น เราจึงพูดว่า
- I probably won't see you หรือ I will probably not see you.  (แต่ไม่ใช้ 'I won't probably..')
ใช้ All and Both ในตำแหน่งต่อไปนี้
- We all felt ill after the meal. ( No " we felt all ill)
- My parents are both teachers. (No " my parents both are..")
- Sarah and Jane have both applied for the job.
- We are all going out this evening.
บางครั้ง เราใช้ is/ will/ did etc. แทนการใช้คำซ้ำๆ กันในประโยค ** สังเกตตำแหน่งของ always/ never etc. ในประโยคต่อไปนี้ด้วย
- He always says he won't be late but he always is. ( =he is always late)
- I've never done it and I never will. (= I will never do it)
โดยปกติเรา วาง always / never etc. หน้าคำในประโยคลักษณะ เช่นนี้แหละคับ

**จำง่ายๆคือ Adverbs จะอยู่ข้างหน้า Verb แท้ และข้างหล้ง Verb ช่วย จ้า

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

Like and As

Like = "similar to" (คล้ายกับ) หรือ 'the same as' (เหมือนกับ) โปรดระวังว่าจะใช้ as ในความหมายดังต่อไปนี้ไม่ได้
- What a beautiful house! It's like a place. (ไม่ใช่ 'as a place')
- What does Sandra do? 'She's a teacher, like me.' (ไม่ใช่ 'as me')
- Be careful! The floor has been polished. It's like walking on ice. ไม่ใช่ 'as walking'
- It's raining again. I hate weather like this. ไม่ใช่ 'as this'
ในประโยคข้างต้นนั้น like เป็น preposition ดังนั้น จึงตามด้วย noun เช่น like a place
หรือ pronoun เช่น like me/ like this หรือ -ing Ex. like walking
คุณอาจจะใช้ like ในลักษณะ 'like (somebody/ something) doing sth. ก็ได้
Ex. 'What's that noise? 'It sounds like a baby crying' เสียงเหมือนกับเด็กร้องไห้
บางครั้ง like มีความหมายว่า 'for example' หรือ เป็นต้นว่า
Ex. Some sports, like motor racing, can be dangerous.
Such as ก็มีความหมาย 'for example' ด้วย เช่น
Ex. Some sports, such as motor racing, can be dangerous.

เราใช้ As ข้างหน้า โครงสร้าง Subject+verb เช่น
I didn't move anything. I left everything as I found it. 
ฉันทิ้งทุกอย่างไว้เหมือนกับตอนที่ฉันพบมัน
They did as they promised. พวกเขาทำเหมือนกับที่พวกเขาสัญญาไว้

เปรียบเทียบการใช้ like and as ใน the following sentences
- You should have done it like this. (like + pronoun)
- You should have done it as I showed you. (as + s. + v.)

เรามีสำนวน as you know / as I said/ as she expected/ as I thought , etc.
Ex. As you know, it's Tom's birthday next week. ตามที่คุณทราบ
- Jane failed her driving test, as she expected. ตามที่เธอคาดไว้

โปรดสังเกตสำนวน as usual / as always ด้วย เช่น
- You're late as usual. คุณมาสายเช่นเคย

As (preposition) = 'in the position of' (เป็น, ในตำแหน่งของ) หรือ 'in the form of' (ในลักษณะของ, ในแบบของ) เช่น
- A few years ago I worked as a bus driver. (Don't use 'like a bus driver)

สำนวน regard...as = ถือว่า....เป็น
- I regard her as my best friend. ฉันถือว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของฉัน

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

State of the art หมายถึงอะไร

state of the art = modern อยู่ในกลุ่มคำที่โฆษณาชอบใช้ เขาถือว่าเป็นศัพท์เก๋ดีครับ ความหมายคือ ล่าสุด ทันสมัย มักจะหมายถึงเทคโนโลยีล่าสุด
This flat-screen TV is state-of-the-art technology.
( โทรทัศน์จอแบนเครื่องนี้สร้างจากเทคโนโลยีล่าสุด )

This radio is state of the art. You won ' t find anything better.
( วิทยุนี้ใช้ระบบล่าสุด คุณหาวิทยุดีกว่านี้ไม่ได้ )

บางครั้งเราใช้ latest หรือ the latest ในความหมายเดียวกัน อย่างเช่นในสองตัวอย่างที่ยกมาเมื่อกี๊ คือ
This flat-screen TV is the latest technology.
This radio is the latest.
แต่คงต้องยอมรับว่า state of the art ฟังแล้วเท่กว่าครับ

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

My So-called Life หมายความว่าอะไร

" ที่เขาอ้างว่า เป็นชีวิตของฉัน " นี่คือการแปลตรงตัวแต่อ่านแล้วคงไม่ช่วยคุณมากนักเพราะความหมายยังไม่ชัดเจน เอาอย่างนี้ดีกว่า so - called เป็น adjective ที่เราใช้นำหน้าอะไรบางอย่างเมื่อเราไม่ค่อยเชื่อใจ หรือ ชอบใจ สิ่งนั้น

เป็นสำนวนที่ออกในแนวประชดประชัน ถากถาง เสียดสี so - called แปลตรง ๆ ว่า
" อย่างที่คนอื่นเรียกว่า … " แต่แสดงว่าผู้พูดไม่ค่อยได้เชื่อเหมือนคนอื่น เช่น This is my so - called career . ผู้พูดแสดงว่าไม่ค่อยพอใจกับชีวิตทำงานของตัวเอง คนอื่นอาจจะมองเขาว่า เขามีชีวิตทำงานที่ดี แต่เขาเองไม่รู้สึกอย่างนั้น

เขาเองรู้สึกว่างานที่ทำไม่ดีนัก เขาเลยอธิบายชีวิตทำงานของเขาว่า my so - called career อีกตัวอย่างหนึ่งครับ She was my so - called girlfriend for three years .
( เธอเคยเป็นแฟนสาวผมเป็นเวลา 3 ปี ) แต่เนื่องจากว่าผู้พูดใช้คำว่า so - called เราก็รู้ทันทีว่าผู้พูดไม่พอใจกับแฟนเก่าคือ เธออาจจะนอกใจเขาหรือไม่ค่อยเอาใจใส่ อย่างไรก็ตามความหมายก็คือ เธอเป็นแฟนโดยตำแหน่งเท่านั้น และที่แน่นอนคือเขาเลิกกันแล้ว
ส่วน My so - called life แสดงว่า ผู้พูดไม่พอใจกับชีวิตของตัวเอง อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จเรื่องความรัก หรือ การทำงาน ชีวิตเขาก็มีจริงแต่ไม่คึกคักอย่างที่เขาต้องการ

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

Don’t hold your breath ความหมายคืออะไร

สำนวนนี้น่าใช้ครับ ใช้ในความหมายว่า ฝันไปเถอะ ไม่มีทาง อย่าไปหวังเลย เช่น
Do you think Krissana will come on time today? Don’t hold your breath. 
(คุณคิดว่าวันนี้กฤษณะจะมาตรงเวลาหรอ! ฝันไปเถอะ)
Will Andrew win the Mr Handsome Farang Competition for 2007? Don’t hold your breath. 
(แอนดรูว์จะชิงรางวัลชายหนุ่มฝรั่งรูปหล่อประจำปี 2007 ไหม? โอ้ ไม่มีทางหรอก)
สำนวนนี้ ให้ความหมายตรงตัวว่า อย่ากลั้นหายใจเพื่อรออะไรบางอย่างเกิดขึ้นเพราะ มันจะไม่เกิดขึ้นอยู่แล้ว

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

late vs. lately

They came late for class. = They (S.) + came (v.) + late (adv.) + for class (object)
Late เป็นได้ืั้ทั้ง Adjective และ  Adverb แต่ให้ึความหมายต่างกัน ประโยคนี้ late เป็น Adv. = สาย (ถ้า adj. = ล่าสุด)
***ข้อสังเกต 
บางคนเคยเรียนมาว่าถ้าเป็น Adverb ต้องมี -ly ซิ และคำตอบคือ 
late และ lately มีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง
คำว่า late เป็นคำที่มีลักษณะพิเศษ คืออย่างที่กล่าวเป็นได้ทั้ง Adjective and Adverb
Ex. They came late for class สายในที่นี้เติมมาเพื่อขยาย came ขยายกริยาต้องใช้ adverb 
แต่ความพิเศษของคำว่า late ก็คือ late ที่แปลว่า สาย ดึก สามารถเป็นได้ทั้ง adj และ adv. เราจึงตอบ
 They came late for class โดย late ในที่นี้เป็น adverb นะ

ส่วน lately มีในภาษาอังกฤษและเป็น adv. ด้วยคับ แต่คำนี้มีความหมายว่าเมื่อเร็วๆนี้ หมู่นี้ ไม่เกี่ยวกับ สาย เลย
Ex. I haven’t seen you lately. พักนี้ไม่ค่อยได้เห็นเธอเลยนะ 

*** สังเกตว่า เราจะใช้ ใน Perfect tense~!!
****คำว่า late สามารถใช้ได้ทั้งในรูปของ Adjective แปลว่า "ล่าสุด"
แต่ถ้าใช้ในรูปของ Adverb จะแปลว่า "สาย"

Ex. I would like to see the latest posted message in this webboard. (ผมอยากจะเห็นกระทู้ล่าสุดในเว็บบอร์ดนี้) แต่อันนี้ก็จะหมายความถึงกระทู้เดียวใช้ไหมครับ

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

Recently และ Lately

Recently และ Lately  ต่างก็แปลเหมือนๆ กันว่า "เมื่อไม่นานมานี้" แต่ทั้งสองคำนี้มีการใช้งานแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย

ตรงไหนน่ะเหรอครับ? ก็ตรงที่ Recently นั้นจะให้ความหมายถึง "ช่วงเวลาที่สั้นๆ เมื่อไม่นานมานี้ ในระดับไม่กี่วัน อาจจะถึงสัปดาห์" แต่ในขณะที่ Lately นั้นจะหมายถึง "ช่วงเวลาเมื่อไม่นานมานี้ ในระดับสัปดาห์ จนถึงเดือน"

ถ้าเราบอกว่า

I have got a lot of problems with my car recently. (หมู่นี้รถผมมีปัญหาบ่อย - ไม่กี่วันมานี้)
I have got a lot of problems with my car lately. (ช่วงนี้รถผมมีปัญหาบ่อย - อาจจะมีปัญหามาหลายสัปดาห์แล้วก็ได้)


แต่ในการใช้งานจริง บางครั้งเราก็ใช้แทนกันได้ หากระยะเวลาที่ต้องการจะสื่อถึงมันคลุมเครือ เช่น เราอาจจะพูดถึงสุขภาพตัวเองช่วงนี้

My health hasn't been too good recently.
My health hasn't been too good lately.
(สุขภาพของผมช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่)


ที่ควรระวัง และผมมักพบเห็นคนใช้ผิด/แปลผิด กันบ่อยๆ คือ

late กับ lately ครับ


คำว่า late สามารถใช้ได้ทั้งในรูปของ Adjective แปลว่า "ล่าสุด"
แต่ถ้าใช้ในรูปของ Adverb จะแปลว่า "สาย"


คำว่า lately เป็น Adverb ที่แปลงรูปมาจากคำว่า late ในรูปของ Adjective ดังนั้น คำว่า lately เลยไม่ได้มีความหมายอะไรที่เกี่ยวกับคำว่าสาย



คำว่า Recently นั้น ไม่ได้เป็นทางการแบบสุดๆ  เราสามารถใช้ในชีวิตประจำวันตามปรกติได้
เช่น เวลาที่เราพูดถึงกระทู้ที่โพสต์ล่าสุด เราจะพูดถึง

I would like to see the latest posted message in this webboard. (ผมอยากจะเห็นกระทู้ล่าสุดในเว็บบอร์ดนี้) แต่อันนี้ก็จะหมายความถึงกระทู้เดียวใช้ไหมครับ
แต่ถ้าเราจะหมายถึงกระทู้ที่โพสต์ล่าสุดหลายๆ กระทู้ เราจะใช้

I would like to see recently posted messages in this webboard. แบบนี้จะสื่อให้เห็นถึงหลายๆ กระทู้


แน่นอนว่าเราอาจใช้ lately ก็ได้ เพราะกระทู้ที่โพสต์ล่าสุด 5 กระทู้ นั้นอาจถูกโพสต์เมื่อเดือนที่แล้วก็ได้ (แสดงว่าเว็บบอร์ดนี้มันเหงาจริงๆ คนมาโพสต์น้อยมาก) แต่เวลาเราใช้เราจะไม่เอา lately มานำหน้า posted เท่าไหร่

I would like to see the messages that has been posted lately in this webboard.

ลองดูตัวอย่างคำว่า Recently ที่คนอื่นๆ เขาใช้กัน ที่ผมไปเสิร์ชตามเว็บมานะครับ (ผมไม่แก้ลักษณะการเขียน เพราะต้องการให้ดูว่า มันไม่ใช่ทางการจริงๆ)

My husband has changed a lot recently should I be concerned? (สามีขออิชั้นเปลี่ยนไปมากเลยช่วงนี้ อิชั้นควรจะกังวลดีไหมเจ้าคะ?) ประโยคนี้เราจะใช้ lately ก็ได้นะครับ แต่ถ้าถามผมแล้ว recently จะให้ความหมายว่าเพิ่งเปลี่ยนไปเยอะเมื่อไม่นานมานี้ได้ดีกว่า lately

Recently i failed in 3 out of six subjects in my 2nd year 2nd semi final exams. (เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเพิ่งตก 3 วิชา จาก 6 วิชา ในการสอบกลางภาคเรียนที่สองของปีสอง)

*** สังเกตอะไรไหมครับ... เราใช้กับ Perfect tense ครับ เพราะเหตุการณ์เพิ่งสิ้นสุดไปไม่นานในขณะที่พูด ***

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

การใช้ Still และ Yet


still นอกจากจะใช้เป็น adv. แปลว่า ยังคง

ตัวอย่าง
I still hope for a place in a school.
ถ้าใช้กับ ขั้นกว่า = even = “ด้วยซ้ำไป, ขึ้นไปอีก”
ตัวอย่าง
Somsri is wise but Noi is still wiser.
และอาจใช้เป็น conj. ในความหมาย nevertheless = แต่ถึงกระนั้นก็
ตัวอย่าง
Ha has often made me angry; still, he is my student and it is my duty to teach him well.
yet ใช้ในรูปปฏิเสธ = ยังไม่
ตัวอย่าง  I have had no news from him yet.

yet ใช้ในรูปคำถาม = แล้วหรือยัง
ตัวอย่าง  Have your wife arrived yet? ( Present perfect tense)

yet ใช้ในรูปบอกเล่า = ยังคง (ใช้ still แทนได้)
ตัวอย่าง Work hard now while there is yet time.

yet ใช้กับ ขั้นกว่า = ยิ่งขึ้นไปอีก (ใช้ still แทนได้)
ตัวอย่าง  I have yet better news for you.

yet ใช้เป็น conjunction = nevertheless = แต่กระนั้นก็
ตัวอย่าง  Ha has often made me angry; yet, he is my student and it is my duty to teach him well.

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

History of Songkran Festival

Songkran
History:
             April 13th is the traditional Thai New Year's Day, which is celebrated by all Thai people, old and young alike, ordinary and royalty, throughout the entire country.
           Thailand adopted this tradition from the ancient Brahmins in India who believed that the sun re-entered Aries and finished its orbit round the earth on April 13.
           Legend has it that there was a god named Kabilla Phrom who loved to bet. One day he learned about a little boy named Thammabal Kumara who, at the age of seven, was able to recite scriptures in public. Knowing of this prodigy, the god wanted very much to test Thammabal Kumara's knowledge.

So, he descended to earth and posed three riddles to the boy, with a wager that if Thammabal Kumara could solve them, the god would give him his head. But if the boy failed to come up with the right answers within seven days, he would lose his head to the god.
The three riddles were: where did a person's aura exist in the morning, where was it at noon, and where did it appear at night? The boy pondered over these riddles for six days. Yet he could not figure out the answers. Fortunately, while he was lying in despair under palm trees, he overheard a pair of male and female eagles laughing about how they would soon feast on the body of a boy who would not be able to solve three riddles. During their conversation they disclosed the answers.
        On the day of judgment, Thammabal Kumara just repeated what he had heard from the eagles, which turned out to be the correct answers. In the morning, a person's aura appeared on his face, so he washed it. At noon, it was at his chest, so he wore perfume there. And at night, his aura moved to his feet, so he bathed them.
      As he had lost the bet, the god kept his word and cut off his own head. However, the head of Thao Kabilla Phrom was known to have some very strange qualities: If it should touch the ground, the earth would catch fire; if it should be left in the air, there would be no rain; and if it should be dropped into the sea, the sea would dry up.
To save the earth from any of these calamities, the god's seven daughters placed their father's head on a footed tray and carried it in a procession around Mount Sumeru before setting it in a cave at Mount Krailat with many offerings.
Every new year on Songkran Day, the god's seven daughters took turns bringing out the god's head and carried it in procession around Mount Sumeru.
       The seven Ladies of the Songkran festival are named after the seven days of the week. Each year, Songkran Day will fall on one of the seven days. Below are brief details about them:
The Sunday lady, called "Tungsa Devi," wears pomegranate flowers behind her ears and her gem is ruby. She eats a kind of fig, holding a discus in her right hand and a conch in her left. She rides on a garuda.
      The Monday lady's name is "Korakha Devi", she wears flowers from the Indian cork tree behind her ears. Moonstone is her gem. She has a sword in her right hand and a staff in her left. She eats oil and rides on a tiger.
       The Tuesday lady named "Raksot Devi" has lotus buds behind her ears. Her gem is agate and she holds a trident in her right hand and a bow in her left. She drinks blood and rides on a pig.
The Wednesday lady is called "Montha Devi" and has champak flowers behind her ears. Cat's eye is her gem. She holds a stylus and a staff. She drinks milk and eats butter. A donkey is her vehicle.
The Thursday lady, whose name is "Kirini Devi", wears Magnolia flowers behind her ears. Her gem is emerald and she eats nuts and sesame seeds. She has a hook and a bow as her attributes, riding on an elephant.
      The Friday lady called "Kimitha Devi", wears water lilies behind her ears. Topaz is her gem and bananas are her food. A sword is in her right hand and a lute in her left. She rides on a buffalo.
The Saturday lady is named "Mahothon Devi". She has water hyacinth flowers behind her ears. Blue sapphire is her gem and she eats hog deer meat. She has a discus and trident as attributes. She rides on a peacock.
       According to the legend, these Songkran ladies are more hideous than gorgeous. However, a beauty contest to choose the Songkran lady of the year always misleads people to believe otherwise.

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

Ways to Learn to Speak English Well


Watch TV

  • Watch TV in English. It is tempting to watch television in your native language rather than trying to understand people who talk fast in English. However, watching TV in English helps to hone your listening skills and learn how English is actually spoken. In addition, watching news programs keeps you abreast of news developments. If you have the captions on, you can increase your reading ability by reading all the words that show up on the bottom of the screen.

Listen to Audio Materials

  • Listen to tapes or CDs to learn how English is pronounced and spoken. There are many cassette tapes and CDs for sale both on the Internet and in bookstores. Listen while you drive to hone your conversation skills, and listen at home when doing the dishes or working around the house.

Check Out Reading Materials

  • Read books and magazines. Even though you are not speaking English when you read them, you are improving your vocabulary and seeing sentence structure, which is important for learning to speak English well. After you do some reading, talk with someone in English about what you read.

Take a Class

  • Take a class in English conversation; even in some rural areas, churches, community colleges and other organizations provide these classes. Taking a class will help you learn in an structured way because you can practice speaking English with the students and the teacher. If you want to learn from the comfort of your home, you can learn English through the Internet (see Resources).

Practice

  • Practice speaking English every chance you get. If you are taking a class, go out to have coffee or a meal with the other students and practice speaking English. If you live at home and your family speaks both English and another language, set aside time each day to speak in your non-native language. Too many families from other countries speak only their native language at home, and this will not help you learn English. Speaking English together will improve everyone's English.
Read more: Ways to Learn to Speak English Well | eHow.com http://www.ehow.com/way_5150519_ways-learn-speak-english-well.html#ixzz1ISPVcRuz